สับปะรด เป็นผลไม้ซึ่งเป็นพืชในตระกูลล้มลุกที่มีลำต้นสูงประมาณ 80-100 เซนติเมตรเท่านั้น จุดเด่นของสับปะรดก็คือเป็นผลไม้ที่เปลือกภายนอกจะมีลักษณะคล้ายตาอยู่รอบ
ๆ ผล เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว หวาน และมีประโยชน์ต่อร่างกายเนื่องจากมีเอนไซม์ที่เป็นตัวช่วยย่อยโปรตีน
อีกทั้งยังมีวิตามินซี และเกลือแร่เป็นจำนวนมาก
นอกจากสับปะรดจะสามารถรับประทานแบบสด ๆ
ได้แล้วยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้มากมาย
เป็นพืชที่สามารถทนต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
จึงนิยมปลูกพืชชนิดนี้เป็นพืชเศรษฐกิจ
เนื่องจากสับปะรดเป็น
พืชที่ชอบอากาศค่อนข้างร้อน จึงควรปลูกสับปะรดอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ ประมาณ 24 – 29 องศาเซลเซียส รวมถึงสับปะรดยังเป็นพืชที่ต้องการความชื้นในอากาศสูงจึงควรปลูกพืชชนิดนี้ในที่ที่มีความฝนตกกระจายสม่ำเสมอตลอดทั้งปี และควรปลูกในพื้นที่ที่มีดินร่วน มีความเป็นกรดเป็นด่างเล็กน้อย จะทำให้สับปะรดเจริญเติบโตได้ดี
พืชที่ชอบอากาศค่อนข้างร้อน จึงควรปลูกสับปะรดอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ ประมาณ 24 – 29 องศาเซลเซียส รวมถึงสับปะรดยังเป็นพืชที่ต้องการความชื้นในอากาศสูงจึงควรปลูกพืชชนิดนี้ในที่ที่มีความฝนตกกระจายสม่ำเสมอตลอดทั้งปี และควรปลูกในพื้นที่ที่มีดินร่วน มีความเป็นกรดเป็นด่างเล็กน้อย จะทำให้สับปะรดเจริญเติบโตได้ดี
นอกจากการปลูกสับปะรดในที่ที่มีอุณหภูมิ
ความชื้น และดินที่เหมาะสมแล้ว การดูแลสับปะรดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มี
มีวิธีการดังต่อไปนี้
1. การให้น้ำสับปะรด
หากปลูกในพื้นที่ที่มีฝนตกกระจายอย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำเพิ่ม แต่หากเป็นหน้าแล้งควรรดน้ำให้ต้นสับปะรดต้นละประมาณ 1-2 ลิตรต่อสัปดาห์2. การใส่ปุ๋ย
ควรให้ปุ๋ยเพิ่มเติมกับสับปะรดทั้งไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ตามสูตร ไนโตรเจน 9 กรัม ฟอสฟอรัส 4 กรัม และโพแทสเซียม 12 กรัม ต่อต้น โดยสามารถให้ปุ๋ยกับสับปะรด ได้ทั้งทางกาบใบโดยทำการพ่น ไปพร้อมกับการให้ปุ๋ยทางดิน และควรให้ปุ๋ยทางต้นตอเพิ่มเมื่อสับปะรดได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ โดยจะสังเกตได้จากใบของสับประรดที่มีสีเขียวซีดจาง3. การกำจัดแมลงศัตรูพืชของสับประรด สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
กำจัดศัตรูพืชของสับปะรด คือ ด้วงเต่ากำจัดเพลี้ยแป้งซึ่งเป็นศัตรูพืชที่สำคัญของสับปะรด